|
||
ประวัติ ชื่อ ณัฐพัชร ทรงรัฐเศรษฐ์ แรงบันดาลใจ จากความรักผู้หญิงที่ชื่อน้องเบ็นท์ ชีวิตนี้ถ้าไม่ได้เจอหรือไม่ได้รักและรู้จักกับน้องเบ็นท์หัวเถิกตดเหม็นคนนี้ผมคงไม่ได้ดีอย่างที่เป็นอยู่นะตอนนี้ ผมจะเก่งและดียิ่งขึ้น ชีวิตที่ต้องอยู่ก็เพื่อแม่น้า น้องลูกหลาน ชาติบ้านเมือง และเพื่อเธอคนนี้ น้องเบ็นท์หัวเถิก สุดที่รักยอดดวงใจของผม ผมไม่ได้หัดเรียนวิชาอะไรจากที่ไหนโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นวิชาพยากรณ์ การแต่งเพลง การทำดนตรี การเล่นเปียโน และพลังจิต ฯลฯ ทั้งหมดนี้เก่งได้ก็เพราะเธอ เพราะผมรักเธอมาก และเป็นอะไรที่มากกว่านี้ แต่ไม่หวังดังเป็นดารา ขอเด่นดังเก่งดีรวยแบบใต้ดิน ก็พอ
R.S.A. Render SerViCE Association ชมรมร่วมบำเพ็ญประโยชน์ สนใจเป็นสมาชิกชมรมติดต่อได้ที่เบอร์นี้เลย 080-916-9641 หรือเข้าไปที่ nuttaput15@msn.com หลักการของชมรมคือ
ต้องการคนที่คิดสร้างสรรค์หรือ มีความสนใจต้องการแสดงออกในสิ่งที่ดี เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อส่วนรวม เรามีแนวคิดในการทำกิจกรรมความดีหลายรูปแบบ ตามความสามารถทางการแสดงออกชองสมาชิก ชมรมR.S.A. เคยปรากฎตัวขึ้นเป็นครั้งแรก ในปีพ.ศ.2533 ที่โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ โดยเป็นการรวมตัวกันระหว่างนักเรียนในแต่ละห้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคเริ่มแรกของการก่อกำเนิดกลุ่มกิจกรรมในโรงเรียนสตรีสมุทรปราการอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอินเตอร์แรค ,กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ,กิจกรรมคุ้มครองผู้บริโภค และเป็นการเริ่มเกิดกิจกรรมรักษาดินแดนขึ้นมาในโรงเรียนสตรีสมุทรปราการ ซึ่งแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่เกิดจากกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ที่เป็นผู้บุกเบิกตั้งขึ้นมา แต่ชมรมR.S.A. เป็นกลุ่มกิจกรรมที่แตกต่างจากกลุ่มกิจกรรมอื่นที่กำลังเกิดการก่อตั้งในยุคนั้น เพราะเป็นกลุ่มกิจกรรมที่มีระบบองค์กรฝ่ายงานต่างๆอย่างเด่นชัด เช่น ฝ่ายวางแผนวิเคราะห์และติดตามประเมินผล ฝ่ายความรู้บันเทิง เป็นต้น มีการประชุมทั้งในระดับฝ่าย และระดับชมรมหรือเรียกว่าประชุมใหญ่ มีห้องทำกิจกรรมหลากหลาย และมีผลงานกิจกรรมหลายแบบ เช่น การทำเพลงวันแม่ การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องการปลูกป่าชายเลนขึ้นที่ภาคอีสานด้วยน้ำเค็มจากเกลือสินเธาน์ การสอนพิเศษโดยนักเรียนสอนนักเรียนกันเอง การแสดงเวที การจัดรายการเสียงตามสาย ในชื่อรายการ บันทึกโน๊ต R.S.A. การมีเขตรับผิดชอบR.S.A. ที่ดูแลเรื่องความสะอาดของอาคารต่างๆในโรงเรียน และอีกหลายกิจกรรม รวมทั้งยังเป็นสายลับให้แก่ทางฝ่ายปกครองหรือฝ่ายกิจการนักเรียนด้วย ดังนั้นการกลับมาครั้งนี้ของR.S.A. จึงต้องไม่ธรรมดา เพราะเราหวังงานระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และระดับตำบลของทุกจังหวัด ที่เราจะเข้ามาจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ความดี ลดพฤติกรรมการแสดงออกในสิ่งที่ไม่ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้ที่ขาดโอกาสทางการแสดงออกอย่างเพียงพอ แต่เราจะจัดกิจกรรมในรูปแบบใหม่ที่ต้องเสียค่าสมาชิกและค่าลงทะเบียนทำกิจกรรมแต่ละแบบเหมือนการลงทะเบียนเรียน เพื่อทำให้ชมรม และผู้เป็นสมาชิกดำเนินกิจกรรมมีรายได้อย่างเป็นธรรม และมีความภาคภูมิใจในการแสดงออกในสิ่งดี ติดตามได้ในเร็วๆนี้ ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจที่ดีๆ เพื่อประเทศชาติและโลกใบนี้ จาก ผู้หญิงคนที่ชื่อน้องเบ็นท์ ชมรมR.S.A. ปัจจุบันบริหารโดย ณัฐพัชร ทรงรัฐเศรษฐ์ มีสมาชิก 4 คน เป็นผู้บริหารบริษัทไพโอเนียร์โปรเจค หนึ่งคน คือ คุณกฤตภาส เอกพุ่มธนาบุญ อดีตประธานชมรมรุ่นแรก สมัยปี พ.ศ. 2533 ปัจจุบันท่านเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไพโอเนียร์ โปรเจค จำกัด และยังเป็นรองประธานชมรมอปพร.อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และยังเป็นรองประธานชุมชนหมู่บ้านพฤกษา 28 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ภารกิจของ ชมรมนะตอนนี้ที่ได้ทำไปบ้างแล้ว คือ การนำเสนอข้อมูลแก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วม ลมพายุ ผ่านทางเว็บไซต์เบ็นทูแอท และเว็บ nuttaput ทั้งทางสถานีเคเบิ้ลทีวี จังหวัดสมุทรปราการ สถานีโทรทัศน์ช่อง9 อสมท และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการ รวมทั้งหมู่นักศึกษา แต่จะมีผลมากน้อยแค่ไหน ต้องลองติดตามดูนะครับ เพราะเรายังเป็นเพียงเว็บไซต์เล็กๆ ที่ยังไม่เด่นดัง มากมาย คงต้องใช้เวลาอีกไม่นาน แต่จากเรื่องราวเหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่าการเป็นคนธรรมดาเนี่ยมันแย่เหมือนกัน เพราะจะทำอะไรเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ส่วนรวม มันก็ไม่เป็นผลเร็วนัก ที่จริงเรื่องน้ำท่วมและลมพายุ ต้องเป็นหน้าที่ของเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ที่มีอำนาจหน้าที่แก้ไข ไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลเป็นผู้แก้ไข ซึ่งเราคงต้องกระตุ้นให้หน่วนงานท้องถิ่นเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ของตนเองให้มากกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่สมควรที่จะเป็นผู้บริหารของท้องถิ่นเลย
นอกจากนี้เรายังได้มีส่วนร่วมที่สำคัญในการจัดรายการแสดงที่ลานเวทีกิจกรรม ตลาดนัดจตุจักร ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ ใกล้ๆกับกองอำนวยการ โดยที่ผ่านมา นายศักดิ์สิทธิ์ แย้มบุญยิ่ง ประธานฝ่ายสารสนเทศและประสานงานระหว่างประเทศ และนายณัฐพัชร ทรงรัฐเศรษฐ์ ประธานฝ่ายบริหารและจัดการก็ได้ดำเนินการติดตั้งแสลนด์บังแดดให้แก่เวทีลานกิจกรรม ตลาดนัดจตุจักรเพื่อให้นักแสดงได้เกิดความร่มเย็น ในการทำการแสดงแต่ละครั้ง
วันนี้วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ผมได้ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย จังหวัดสมุทรปราการ และเทศบาลนคร เพื่อนำเสนอข้อมูลเทคโนโลยี่ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ลมพายุ แต่ดูเหมือนจะได้รับความสนใจน้อยมาก เพราะเรายังไม่ใช่บุคคลสำคัญ จึงไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง แต่ผมก็ไม่ย่อท้อ ผมตั้งใจจะทำงานด้านสื่อมวลชน เชิงสร้างสรรค์ต่อไป ผมจึงเดินทางไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ แต่ได้พบเพียงเจ้าหน้าที่หน้าห้องท่านผู้ว่าฯ ผมจึงนำเสนอข้อมูลและความตั้งใจเอาไว้ พร้อมทั้งแนะนำให้ดูข้อมูลจากเว็บไซต์ เบ็นทูแอท ซึ่งผมได้สร้างเอาไว้เช่นกัน ผมกำลังคิดว่าอาจจะต้องรีบทำงานเพลงให้สำเร็จเร็ว ๆไม่ว่าจะเป็นงานเพลงทางอินเตอร์เน็ต หรือการเป็นศิลปินเพลงสังกัดค่ายเทป ถ้ามันจำเป็นเพื่อช่วยเหลือบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของผม เพื่อให้สามารถทำเรื่องดีๆที่ผมตั้งใจให้สำเร็จ ผมคงต้องยอมทำ โครงการหลักของเราคือ จัดกิจกรรมหรือรายการเพื่อนำเงินมาดำเนินกิจกรรมดังนี้ คือ
หากท่านใดสนใจอยากทำบุญหรือเข้าร่วมกับทางชมรม ก็ติดต่อมาได้ นะครับเพื่อทำให้อุดมการณ์ของเราได้เป็นจริง ได้บุญ และยังได้เพื่อน ได้เงินทองกลับมาอย่างยั่งยืนด้วย
สรรหา สิ่งดีๆจะบังเกิดที่นี่เร็วๆนี้
แหล่งรวบรวมองค์ความรู้และแนวความคิด หรือโครงการ โครงงานที่น่าจะเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจ จากประชาชน นักเรียน นักศึกษาผู้รักชาติและสังคมส่วนรวม เราจะนำมาไว้ที่นี่เพื่อนำเสนอ ตีแผ่ และหาผู้ส่งเสริมให้เกิดขึ้นจริงบนโลกเพื่อความยั่งยืนของประเทศและโลกใบนี้ คนดี คนมีความคิดสร้างสรรค์อย่าเพิ่งท้อใจ ในบางครั้ง เราอาจจะรู้สึกหมดหวัง หรือหดหู่ในใจ เพราะเราเป็นเพียงคนธรรมดา แต่มีความต้องการช่วยเหลือสังคม ขอให้รู้ว่ายังมีคนที่เข้าใจคุณและพร้อมจะช่วยเหลือให้ความตั้งใจที่ดีของคุณได้เป็นจริงได้ อย่างน้อยก็ยังมีผม คนหนึ่งที่เห็นคุณค่าของพวกคุณ ผมจะนำเอาองค์ความรู้และแนวความคิดหรือโครงการ โครงงานที่พวกคุณได้ทำไว้แล้วหรือริเริ่มขึ้นแล้วมาตีแผ่ และค้นความจากหลายสาขาความรู้เพื่อสนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง จนเกิดอาชีพนักคิดสร้างสรรค์ มีผลประโยชน์จากเดโม่ความคิดร่วมกัน เหมือนอาชีพศิลปิน นักแต่งเพลง นักทำดนตรี มาร่วมมือกันให้สิ่งนี้กลายเป็นจริง ที่นี่เร็วๆนี้ นะจ๊ะ
แก้กรรมแบบง่ายๆ ลองคลิกดูนะ ถอดรหัสจากพระไตรปฺิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เอาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันแบบๆฆราวาส ตามสไตล์แอท
บทความเพื่อแก้ปัญหาชาติ และสังคมโลก จากสมองคนเก่งชื่อแอท ณัฐพัชร ทรงรัฐเศรษฐ์ และกุนซือทองอีกหลายคน ที่น่าสนใจ ที่นี่เร็วๆนี้ ไม่ใช่อย่าลบหลู่
ตอนนี้น้ำเริ่มท่วมนะครับ ผมเสนอว่าควรพัฒนาสายพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสให้สามารถกินได้มากขึ้นเป็นวันละ 600- 1,200 แกลลอนต่อวัน จากเดิมที่กินน้ำได้ 200 แกลลอนต่อวันเพื่อกำจัดน้ำท่วมที่มีอยู่ และควรจะทำการนำน้ำที่มีมากเหล่านี้ไปเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบหรือสถานะของไอน้ำเพื่อนำไปเป็นพลังงานไฟฟ้า ใครมีปัญญาช่วยนำความคิดนี้ส่งต่อๆกันไปทีเถอะครับ วันนี้พฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2553 ขอนำเสนอไอเดียเจ๋งๆจากสมองของคนชื่อแอทต่อนะครับ ปัญหาน้ำท่วม ทั้งน้ำทะเลหนุน ,ฝนตกลงมามากเพราะด้วยพายุ, น้ำท่วมขังในพื้นที่ราบล่ม, น้ำป่าและน้ำจากเขื่อน ที่มีมากเกินไป ผมณัฐพัชร มีทางแก้ที่ง่ายดายมากเลยใช้เวลาไม่เกิน 3เดือน ปกติน้ำ ประกอบด้วย H และ O2
เราจึงสามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ที่สำคัญน้ำคือแหล่งพลังงานไฟฟ้า และพลังงานลมที่สำคัญ ทะเลคือแหล่งกำเนิด ลมพายุ เมฆฝน และฟ้าผ่า ซึ่งก็เกิดมาจากน้ำเช่นกัน หากเราจำลองสถานที่เลียนแบบทะเล เพื่อสร้างลมพายุ เพื่อสร้างเมฆฝน และเพื่อสร้างพลังสายฟ้า เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน และอีกหลายๆ อย่าง ที่กล่าวมาแล้ว พืชที่ต้องการใช้น้ำเพื่อการเจริญเติบโตมากๆ พืชประเภทนี้ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญในการสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม หรือกำจัดน้ำที่มีมากเกินไป ให้มาอยู่ในรูปของขนาดของวงปีในต้นไม้ และขนาดความสูง ขนาดและจำนวนกิ่งใบของต้นไม้ เราอาจจะมีป่าไม้ที่โตเร็ว และสูงใหญ่ยักษ์มากกว่า 150 เมตร ในเวลาไม่เกิน 2ปี พืชสำคัญอย่างหนึ่งในการกำจัดน้ำก็คือ ต้นยูคาลิปตัส เพราะต้นยูคาลิปตัสเป็นพืชที่ต้องการใช้น้ำเพื่อการเติบโตอย่างมาก ในเวลไม่เกิน 2ปี ต้นยูคาลิปตัสที่ได้รับน้ำมาก จะเจริญเติบโต สูงขึ้นมามากกว่า 10 เมตร ในบันทึกของประเทศออสเตรเลีย เคยพบว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นไม้ที่สูงได้ถึง 150 เมตร และต้นยูคาลิปตัสยังมีมากกว่า 700 สายพันธุ์ ต้นยูคาลิปตัสสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทุกพื้นที่ ทั้งพื้นที่น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ประเทศฟินแลนด์และอีกหลายประเทศแถบสแกนดิเนเวียได้นำต้นยูคาลิปตัสไปใช้กำจัดน้ำที่ท่วม โดยเฉพาะประเทศฟินแลนต์ซึ่งเป็นประเทศที่มีหนอง บึงมากที่สุดในโลก ก็ใช้เจ้าต้นยูคาลิปตัสกำจัดน้ำท่วมในหนองบึงเหล่านี้อย่างได้ผมมาแล้ว โดยปกติต้นยูคาลิปตัสจะมีความสามารถกินน้ำได้วันละ 60 แกลลอนต่อวัน หากเราพัฒนาสายพันธุ์ของต้นยูคาลิปตัสให้กินน้ำได้มากกว่า 3,000 แกลลอนต่อวัน โดยปลูกในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง ตามตลิ่งแม่น้ำลำคลอง ตามริมหนองบึงที่จะใช้เป็นที่รองรับน้ำ หรือใช้ปลูกในพื้นที่ ที่เรียกว่าแก้มลิง เพราะแก้มลิง โดยทั่วไปจะมีขนาดความลึก ไม่เกิน 10 เมตร อย่างมาก ก็เพียง 2-4 เมตร จึงต้องใช้พื้นที่ทำแก้มลิงเป็นบริเวณกว้างมาก แต่หากมีแก้มลิงที่มีระดับความลึกเหมือนบ่อขุดดินขุดทรายขาย คือ ลึกมากกว่า 50 เมตร ก็จะสามารถรองรับน้ำได้มากกว่าปกติ และยังนำน้ำที่ได้มาใช้ประโยชน์ได้มากมาย หากทางราชการของส่วนกลาง หรือเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ของแต่ละจังหวัด ได้ใช้วิธีการเช่าซื้อที่ดินของชาวบ้านที่ประกาศขาย หรือให้เช่าที่ดิน โดยเป็นการเช่าซื้อที่ดินเพื่อทำแก้มลิง และให้สามารถพัฒนาประโยชน์บนพื้นที่ได้ เช่น ทำแพรีสอร์ต ทำแพปลูกพืช ทำแพเพาะเลี้ยงพันธุ์สัตว์ หรือทำเป็นแพเพื่อการศึกษาวิถีการดำรงชีพในภาวะน้ำท่วม ซึ่งมีเป็นตัวอย่างในทะเลสาปเขมร และย่านประเทศบรูไน และทางภาคใต้ย่านทะเลอันดามัน ที่ชาวบ้านสร้างทุกอย่างอยู่บนแพหรือสร้างค่อมลงไปในทะเลเลย มีตั้งแต่ โรงพยาบาล วัด โรงเรียน ตลาด สนามฟุตรบอล ฯลฯ เรื่องน้ำท่วมจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป เราสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวก ด้วยรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ที่แล่นทั้งในน้ำและบนบกก็ได้ และยังมีเรือที่สามารถแล่นทั้งในหนองบึง บนพื้นดิน พื้นเลน พื้นทราย และพื้นปูนก็ได้ เป็นเรือที่มีใบพัดขนาดใหญ่อยู่ข้างหลังแบบในหนังฮอลลี่วู๊ด ที่นิยมใช้มากแถบทางใต้และภาคตะวันตกของประเทศ และแถบมลรัฐฟลอริดา เมื่อเราทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่าย ปัญหาน้ำท่วมจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย ต้นซีครัวย่า และต้นเรดวู๊ด ไม้ชายฝั่งทะเล ที่เป็นต้นไม้ซึ่งสามารถมีอายุได้ยืนยาวมากกว่า 3,000 ปี และยังเป็นต้นไม้ที่มีสูงใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงได้มากกว่า 170 เมตร เดิมทีพบแถบชายฝั่งทะเลด้านแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา คนอินเดียโบราณ มีต้นเรดวูด และต้นซีครัวย่าเป็นเหมือนกำแพงที่คอยป้องกัน คลื่นลมพายุ ไม่ให้เข้ามาทำลายความสงบสุขของพวกเขา คนอินเดียนแดง ล่ากวาง กระต่าย และเก็บลูกโอ๊ค กับผลไม้อื่นๆเป็นอาหาร โดยไม่ได้ตัดต้นไม้พวกนี้เลย จึงไม่เกิดพายเฮริเครน หรือทอร์นาโดในดินแดนอเมริกา ยุคที่คนขาวยังไม่เข้ามาครอบครอง ต้นเรดวู๊ดกับซีครัวย่า เป็นพืชชายทะเลที่สามารถปลูกได้ในประเทศแถบชายฝั่งทะเลทั้งหมดโดยเฉพาะแถบเขตร้อน หรือร้อนชื้น ต้นลำเจียก ต้นเตยป่า ต้นเตยทะเล และต้นลำเจียก ก็เป็นพืชทะเล ที่มีระบบรากเหมือนต้นโกงกางแต่มีขนาดใหญ่กว่า สามารถปลูกได้ทั้งพื้นที่น้ำจืดและน้ำทะเล สามารถจัดการกับน้ำทะเลและน้ำจืดได้เช่นกันแถมยังมีลูก ซึ่งมีเนื้อในเป็นแป้งใช้กินหรือทำเอธานอลได้อีกด้วย น้ำปกติมี 3 สถานะ คือ เป็นของแข็ง เป็นของเหลว และเป็นก๊าซ หรือไอน้ำ หากเราจัดการนำน้ำที่มีมากเกินไปให้อยู่รูปของน้ำใต้ดิน ทำเป็นน้ำแข็งใต้ดิน หรือน้ำแข็งบนที่สูง และทำให้เป็นไอน้ำ ก็จะไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำท่วมที่เป็นน้ำในรูปแบบของเหลว เราสามารถนำน้ำของเหลวทำเป็นไอน้ำโดยการต้ม แล้วนำไอน้ำที่ได้จากการต้มมาเป็นแรงดันปั่นไฟฟ้า ให้เกิดความร้อนแก่พื้นที่ที่ใช้ต้มน้ำ ที่นำเข้ามาใหม่จากน้ำฝนโดยตรง หรือจากการสูบน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง และทะเลมาต้มเป็นไอน้ำ แล้วก็ใช้หมุนเวียนเช่นนี้ต่อไป โดยไม่ต้องปล่อยควันไอน้ำออกมาจากระบบเลย เราก็จะมีไฟฟ้าจากไอน้ำใช้อย่างไม่มีวันจบสิ้น และก็ไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำท่วมอีกด้วย ขอให้น้ำท่วมมาเถอะ จะทำให้เป็นเงินซะให้เรียบเลย สรุป เราต้องมี 1.แก้มลิงขนาดความลึก 50 เมตร ที่เคยเป็นบ่อขุดดินและทรายขาย ซึ่งต่อมาก็มีน้ำท่วมขึงเต็มจนกลายเป็นบึง โดยเราต้องนำน้ำในบึงไปต้มให้เป็นไอน้ำเพื่อใช้ปั่นไฟและควบแน่นนำมาเป็นน้ำสะอาดใช้ได้ใหม่ ซึ่งจะใช้วิธีการเช่าซื้อที่ดินของชาวบ้าน หรือขุดสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ หรือติดต่อขอใช้น้ำในบึง เพื่อการป้องกันน้ำท่วม 2.โรงไฟฟ้าผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไอน้ำ 3.ท่อส่งไอน้ำไปตามชุมชนต่างๆ เหมือนท่อส่งแก๊ส เพื่อนำเข้าสู่โรงงานผลิตไฟฟ้าจากไอน้ำในตำบลอื่นๆ 3.ป่ายูคาลิปตัส ป่าเตยทะเล ป่าจาก ป่าลำพู ป่าลำเจียก ป่ายาง ยางพารา ยางอินเดีย ป่าชะโนด ป่าตาล ป่ามะพร้าว และป่าปาหนันโดยปลูกรอบแก้มลิง และ บริเวณชายฝั่งทะเล แม่น้ำ ลำคลอง และบริเวณหนองบึงพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ เพื่อใช้กำจัดน้ำ และสร้างแหล่งน้ำไปด้วย 4.เราต้องมีการทำประโยชน์บนพื้นที่ผิวน้ำในแก้มลิง เช่น ทำแพปลูกพืชเกษตรต่างๆ ทำแพรีสอร์ต ทำแพเพื่อการศึกษาสัตว์น้ำและพืชน้ำ ทำแพหรือกระชังเพาะเลี้ยงพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักตบชวา สาหร่ายสไปรูลิน่า สาหร่ายน้ำมัน บัวผัน 5. โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากผลผลิตเปลือกไม้ เนื้อไม้ ใบไม้และกิ่งไม้ ของพืชที่ปลูก เช่น น้ำตาลจากต้นจาก น้ำมันจากใบและกิ่งของต้นยูคาลิปตัส ใยเซเรร่อนจากไม้ยูคาลิปตัส น้ำตาลจากต้นตาล ต้นมะพร้าว ฯลฯ อย่างนี้ชาวบ้านก็รวยนะซี่ น้ำก็ใช้หรือขายได้ ไฟฟ้าก็ได้มีให้ใช้ไม่รู้จักจบสิ้น ไม้ก็มีให้ใช้ ผลไม้กินมีให้กิน ทำแล้วมีแต่รวยกันทุกตำบลเลย ดีกว่า ได้รับถุงยังชีพ และกระสอบทราย ดีกว่าเสียเงินไปกับการสูบน้ำท่วมทิ้งลงแม่น้ำหรือทะเล ที่มีน้ำท่วมอยู่แล้ว และก็ดีกว่าการอพยพแน่นอน หลายคนคงไม่ต้องการน้ำท่วม แต่ต้องการรวยจากน้ำท่วมเน้อ ไม่ต้องซ่อมบ้าน ไม่ต้องซ่อมถนน ที่สวนไร่นาก็ไม่ต้องเสียหาย สัตว์เลี้ยงไม่ต้องตาย โรคภัยจากน้ำท่วมก็ไม่ต้องมี มีแต่รวยและมีความสุขจากการที่มีน้ำมาเยอะๆ เท่านั้นดีกว่า ใช่มั๊ย ใครเห็นด้วยก็ช่วยอ่าน และส่งต่อให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาลงมือทำที พวกเราจะได้สบายกัน วันที่29 ตุลาคม 2553 อีกวิธีง่ายๆ เราใช้น้ำมันพืช หรือแอลกอร์ฮอล ราดลงไปในน้ำแล้วจุดไฟเผาน้ำให้เดือดกลายเป็นไอแล้วนำเข้าสู่กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากไอน้ำ ก็เป็นวิธีง่ายๆอีกแบบ วันที่ 2พฤศจิกายน 2553 น้ำท่วมเช่นนี้จะมีผลดีกับ รถแบบใหม่ คือ รถสะท้านน้ำสะเทิ้นบก เรือใบ แพ เจ็ตสกี และเรือที่มีใบพัดขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านหลังแบบที่ดูกันในหนังฮอลลี่วู๊ด ที่ใช้กันตามหนอง บึง ซึ่งเป็นเรือที่วิ่งได้ทั้งบนบกและบนน้ำ เราน่าจะมีเรือแบบนี้เอาใช้ในหน่วยงานราชการ หรือเราอาจจะให้มหาวิทยาลัยต่างๆ และโรงเรียนอาชีวะต่างๆได้พัฒนาสร้างขึ้นเอาไว้ใช้ในแต่ละชุมชนเพื่อในยามที่เกิดน้ำท่วม หรือเพื่อภารกิจกู้ภัยและสำรวจรักษาทางธรรมชาติ โดยเราจะสามารถรู้ได้ว่าพื้นที่ใดมีโอกาสน้ำท่วมดูจากชื่อตำบล อำเภอ ที่บ่งบอกเอาไว้ ตำบลหนองปลาดุก ตำบลหนองงูเห่า บ้านน้ำก้อ และยังดูได้จากการที่มีต้นยางป่า ต้นอินทนิล และต้นธูปฤาษี เป็นสิ่งบ่งบอกว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมถึงอย่างแน่นอน เรายังสามารถสร้างเขื่อนใต้ดิน เพื่อเก็บกักน้ำทั้งในรูปแบบน้ำแข็งและน้ำ รวมทั้งอาจจะเก็บในรูปของก๊าซ เพื่อนำมาใช้ปั่นไฟและควบแน่นให้กลายเป็นน้ำสะอาดก็ได้ นอกจากนี้ เรายังสามารถหาประโยชน์จากน้ำ โดยการสร้างแท่นขุดเจาะในทะเล บึง หนอง แม่น้ำ เพื่อนำเอาพลังงานไฟฟ้าจากเกลียวสายฟ้าที่มีมากในช่วงฝนตก เพราะพลังงานสายฟ้าหนึ่งสายมีพลังงานไฟฟ้ามากกว่า 1จิ๊กกะวัตต์ หรือมีพลังงานเทียบเท่าพลังงานนิวเคลียร์ เราสามารถนำเอาพลังงานไฟฟ้าจากสายฟ้าอันมีมหาศาล และเกิดขึ้นได้เพราะมีฝนตกเท่านั้น โดยเราสามารถนำเอาพลังงานสายฟ้านี้มาใช้ต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า ผลิตน้ำใช้ ผลิตไฮโดรเจน ผลิตอ๊อกซิเจน และผลิตลมบนภูเขาเพื่อให้เกิดความเย็นจนเกิดภาวะน้ำแข็งบนภูเขาสูงเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อนก็ยังได้
ลองทำดูนะครับ ขุดหลุมให้ลึกเป็นบ่อรอบพื้นที่ของเมืองเลยก็ได้ หรือรอบพื้นที่ของถนน สะพาน ทางด่วน อาคาร บ้านเรือน ก็ลองทำเอา ตามแต่สะดวก อย่าอยู่เฉยๆ ทำอะไรซักอย่างดีกว่ารอให้มันเกิดึขึ้น
ดัชนีพยากรณ์ สถิติ/ข้อมูลปัจจัยที่เป็นสิ่งชี้วัดเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งทาง สังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี่ จากการวิเคราะห์โดย นายแอท คนเดิม วันนี้จะเริ่มวิเคราะห์เป็นครั้งแรกเลยนะครับ กับวันพุธที่ 20 ตุลาคม 2553 ตอนนี้ท่านสังเกตุเห็นอะไรมั๊ยครับว่าโลกกำลังพบแร่อันมีค่ามากมายหลายแห่งโดยเฉพาะน้ำมันและทองคำ ในไทยทางเหนือและอีสานค้นพบแหล่งทองคำคิดเป็นเงิน เก้าแสนล้านล้านบาทเชียวนะ และยังเจอน้ำมันอีก ว่ากันว่าใช้ได้ถึง 60 ปี ในอ่าวไทยก็พบอีก ทางใกล้ชายฝั่งของบราซิลก็พบแหล่งน้ำมันมหาศาล ลองคิดดูซิครับหากคำพยากรณ์ในปี 2012 เป็นจริงที่เขาว่าจะเกิดแผ่นดินไหว สนามแม่เหล็กของโลกจะปั่นป่วน จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินจะถล่ม หรือเกิดพายุขนาดใหญ่พัดเข้าถล่มโลก เป็นไปได้หรือไม่ นี่คือปัจจัยทำให้เป็นไปได้ เมื่อมีการขุดเจาะพื้นดินและใต้น้ำเพื่อเอาแร่ธาตุมาใช้ โลกจะพรุนมั๊ย ชั้นธรณีวิทยาของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมั๊ย ประเทศไทยควรจะขุดน้ำมันขึ้นมาใช้อีกหรือไม่ ทั้งที่เรามีพลังงานทดแทนแล้ว เราควรให้ต่างชาติมาได้สัมปทานขุดเจาะทำเหมืองทองคำในประเทศของเราหรือไม่ ทั้งๆที่เรามีศักยภาพทำเองได้ รัฐบาลอาจตั้งรัฐวิสาหกิจทำเหมืองทองร่วมกับบริษัทเอกชนไทย เพื่อนำเงินมูลค่ากว่า 9แสนล้านล้านบาทมาใช้เอง แล้วเลิกขุดเจาะน้ำมันเพื่อการส่งออก แต่ควรนำมาใช้ในประเทศหรือเลิกไปเลยให้แท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นแหล่งทัศนศึกษาทางทะเล หรือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชทะเล เช่นสาหร่ายน้ำมัน จะดีกว่าหรือไม่ ใครเข้ามาอ่านช่วยส่งความคิดนี้ต่อไปทีให้พิจารณาทั่วกันเถอะครับเพื่อชาติบ้านเมือง และป้องกันมิให้โลกต้องได้รับภัยพิบัติตามคำพยากรณ์ ช่วยติดตาม ทีเน้อ น้องแอทขอร้อง ตัวดัชนีชี้วัดวันนี้ คือ
สุดยอดยุทธการกุนซือทอง ประจำวันอังคารที่ 19 เมษายน 2554 ตอนนี้ใครๆก็ต่างตื่นกลัวต่อเรื่องแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิ โดยเร็วๆนี้จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นใน 4-5ประเทศ ซึ่งหากเกิดขึ้นกับประเทศ ญี่ปุ่น พม่า อินโดนีเซีย และฟิลิปินส์ ก็จะส่งผลต่อประเทศไทยเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนใน5 จังหวัดทางภาคเหนือ จังหวัดกาญจนบุรี และรอยเลื่อนในแถบภาคกลาง คือรอยเลื่อนนครนายก รอยเลื่อนนครปฐม แต่เราอย่าเพิ่งตื่นกลัวไปมาก จนไม่ทำอะไรกันเลย คลื่นพีและคลื่นเอส นั้นเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ได้ดีในสิ่งที่เป็นวัตถุแข็ง ด้วยความเร็วตั้งแต่ 1.000 กม./วินาที เคลื่อนที่ในน้ำได้ 1.6 กม./วินาที แต่มันจะเคลื่อนที่ลดลงหรืออ่อนกำลังลงจนแทบหมดแรงไปเลยในสิ่งที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมัน โคลนเลน เจล นุ่น สำลี น้ำยาง น้ำตาลทรายเหลว น้ำผึ้ง จาระบี ผลไม้เน่า ข้าวเน่า มูลเหลว หากเราใช้สิ่งเหล่านี้เทลงไปในบ่อที่มีความลึกมากกว่าเสาต่อม่อในดิน โดยต้องปูพื้นบ่อที่ขุดรอบสิ่งปลูกสร้างด้วยแผ่นผ้าหรือแผ่นพลาสติก แล้วจึงเทของเหลวเหล่านี้ลงไปให้เต็มบ่อแล้วจึงปิดฝาบ่อด้วยวัสดุที่ไม่ใช่ของแข็ง คลื่นเอสหรือคลื่นแผ่นดินไหวก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่เข้าถึงสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของแข็งได้ เหมือนผีไม่สามารถเข้าไปในโบสถ์ได้เช่นกัน
|
|
Online: 1 | Visits: 167,921 | Today: 133 | PageView/Month: 1,050 |